การเช่าคลังสินค้าเป็นสิ่งที่ปัจจุบันนี้ผู้ประกอบการมากมายเลือกใช้กัน เนื่องจากว่าสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนได้มากพอสมควร แต่ทั้งนี้ในเช่าคลังสินค้านั้นก็ไม่ควรให้ความสำคัญกับแค่เรื่องตัวโกดัง หรือที่ตั้งเท่านั้น ในเรื่องของสัญญาให้เช่าคลังสินค้าก็มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยสัญญาให้เช่าก็มีทั้งแบบระยะสั้น และแบบระยะยาว ซึ่งทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอยู่ แล้วสัญญาให้เช่าระยะสั้นนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีรายละเอียดแบบไหน ในบทความนี้จะมาบอกกัน
รู้หรือไม่ สัญญาให้เช่าคลังสินค้าระยะสั้น เป็นอย่างไรบ้าง
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า สัญญาให้เช่าคลังสินค้าระยะสั้น และแบบระยะยาวนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ อีกทั้งยังมีข้อดี-ข้อเสียไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญมาก ๆ เพราะมันจะส่งผลต่อเรื่องของข้อผูกมัดที่เกิดขึ้นในการเช่าคลังสินค้า และเรื่องอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่จะตามมาในการเช่านั่นเอง
สัญญาให้เช่าคลังสินค้าระยะสั้นเป็นสัญญาที่อาจจะส่งผลต่อผู้เช่าได้ หากว่าจะหมดสัญญาแล้วต้องต่อใหม่ เพราะถ้าเกิดว่าผู้ให้เช่าเกิดจะขึ้นค่าเช่า ก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเช่าระยะสั้นจะมักมีค่าเช่าที่ราคาสูงเมื่อเทียบกับการเช่าระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นข้อเสียของการเช่าระยะสั้น แต่ข้อดีของการเช่าในระยะสั้น ก็อยู่ที่เรื่องความคล่องตัวของผู้เช่าที่จะมีมากกว่าสัญญาระยะยาว เพราะหากจำเป็นต้องย้ายคลังสินค้าบ่อย ๆ สัญญาระยะสั้นก็ตอบโจทย์มากกว่า
สำหรับการเช่าคลังสินค้าในระยะสั้น ก็จะมีระยะเวลาอยู่ที่ไม่เกิน 3 ปี หากว่ามีระยะเวลาที่สั้นกว่า 3 ปี ก็ไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนที่กรมที่ดิน ผู้ให้เช่า และผู้เช่าสามารถทำการตกลงเรื่องของสัญญาการเช่าได้เองเลยแบบไม่ต้องผ่านหน่วยงานรัฐ แต่ทั้งนี้สิ่งที่ต้องทำก็ยังมีในเรื่องของการติดอากรแสตมป์ในสัญญาการเช่า โดยจะอยู่ในอัตรา 1,000 ละ 1 บาท ซึ่งจะอัตราการจ่ายที่เท่ากันทั้งการทำสัญญาเช่าคลังสินค้าแบบระยะสั้น และแบบระยะยาว
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็เป็นรายละเอียดที่ต้องรู้ เกี่ยวกับการทำสัญญาให้เช่าคลังสินค้าระยะสั้น โดยสิ่งเหล่านี้คงจะช่วยทำให้เข้าใจ และตัดสินได้ง่ายมากขึ้นแล้วว่า จะเลือกเช่าคลังสินค้าด้วยสัญญาระยะสั้นหรือไม่ เพราะการเช่าคลังสินค้าในระยะสั้นก็มีข้อดี และข้อเสียในหลาย ๆ เรื่องอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามการตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ประกอบการ และความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ